ค้นหาบล็อกนี้

หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

การปฏิบัติธรรมเปลี่ยนชีวิตได้อย่างไร

ในการอบรมนั้น นอกเหนือจากการเดินจงกรม นั่งสมาธิแล้ว สิ่งที่หลักสูตรนี้ให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือการกำหนดปัจจุบัน คือให้มีสติระลึกรู้ถึงการเคลื่อนไหวในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นยืน เดิน เคี้ยวอาหาร ดื่มน้ำ นอน และหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดที่เราจะระลึกรู้ให้ได้เท่าทันก็คือความคิด

การเข้าปฏิบัติธรรมทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ และค้นพบตัวเองมากขึ้น และรู้ตัวว่า ที่ผ่านมาในอดีตนั้น เราให้ความสำคัญกับอดีต และอนาคต มากกว่าปัจจุบัน ซึ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดทุกข์กับตนเองทั้งสิ้น เพียงแค่มีคนมาด่าว่าเราเพียงครั้งเดียว เราก็นำคำพูดของเขานั้นกลับมาทิ่มแทงใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความคิดวกไปวนมา ทำให้โกรธแค้นไม่มีที่สิ้นสุด หรือกังวลกับเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น เกิดวิตกจริตตีโพยตีพายไปต่าง ๆ นานา แต่เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้ว ก็เริ่มเข้าใจว่าอดีตคือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ อนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพียงแค่เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน ก็ทำให้เราทุกข์น้อยลงมาก เมื่อก่อนเป็นคนชอบเอาตัวเองไปตัดสินคนอื่น เช่น ทำไมเขาทำอย่างนั้น ไม่ถูกใจเรา แต่เมื่อได้มีเวลามาดูกายกับใจของเราแล้ว พบว่า แม้ตัวของเรายังบังคับตัวของเราไม่ได้ตั้งหลายเรื่อง ทำไมต้องบังคับคนอื่นด้วย รู้จักวิธีการจัดการกับความโกรธ หรืออคติต่าง ๆ ท่านอาจเคยเห็นเคยพบ คนบางคนที่ทำอะไรได้อย่างไม่อาจคาดคิด เพราะความโกรธ หรือตกใจมาแล้ว คงจะเห็นผลว่า การมีสติตั้งรับกับเหตุการณ์ตรงหน้าเรานั้นสำคัญอย่างยิ่ง การมีสติระลึกรู้ตลอดเวลาทำให้เราทำผิดน้อยลง การมีสมาธิมากขึ้นทำให้ทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น และด้วยความที่อยากนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการปฏิบัติธรรมมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดิฉันก็ได้ศึกษาธรรมะเพิ่มเติมอีกอย่างต่อเนื่อง และยิ่งได้พบว่า ธรรมะของพระพุทธองค์ช่างยิ่งใหญ่ และเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า ถ้าทุกคนในสังคมรักษาศีลห้าได้อย่างบริสุทธิ์ ปราศจากการเบียดเบียนซึ่งชีวิต ทรัพย์สิน การล่วงละเมิดในภรรยาและสามีของผู้อื่น การพูดปด และการดื่มสุรา โลกทุกวันนี้คงน่ารื่นรมย์ขึ้นเป็นแน่

นอกจากจิตใจของดิฉันจะเปลี่ยนแปลงแล้ว ร่างกายก็มีพัฒนาการด้วยเช่นกัน มีภาษิตบทหนึ่งว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ก่อนปฏิบัติธรรม ดิฉันมักจะนอนไม่หลับ ต้องกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาเกือบค่อนคืน ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกไม่สบาย มึนงง แต่เมื่อเราหลับด้วยสติแล้ว ก็ช่วยให้ตื่นขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น หรือก่อนหน้านี้ เพียงแค่เป็นหวัดดิฉันก็รู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย รำคาญ แต่ปัจจุบันนี้ ความทุกข์ทางกาย ไม่ใช่ความทุกข์ทางใจของดิฉันอีกต่อไป หลายท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่องตลก หากดิฉันจะบอกว่าห้องกรรมฐานที่ดิฉันไปบ่อยก็คือฟิตเนสเซนเตอร์นั่นเอง ในขณะที่เราทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิ่งบนลู่วิ่ง หรือปั่นจักรยาน หากเรามีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของเท้าซ้ายขวาแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าเราจะเหนื่อยช้าลง และทำกิจกรรมนั้นได้นานกว่าเดิม โดยที่จิตใจผ่องแผ้ว เบิกบาน ไม่รู้สึกว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป ดิฉันสามารถเล่นโยคะในอาสนะยาก ๆ ได้ดีขึ้น เมื่อใจเรามีสมาธิ นอกจากนี้ดิฉันยังรู้สึกมีความสุขกับการดำรงชีวิตให้ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ในหน้าที่การงาน แม้การทำงานบ้านบางอย่างที่น่าเบื่อ เช่น ถูบ้าน ล้างจาน หรือซักผ้า เพียงแค่เรามีสติระลึกรู้กับอิริยาบถย่อย ๆ ต่าง ๆ ในขณะนั้น ซึ่งเพียงแค่ได้อ่านบทความนี้ ดิฉันไม่คาดหวังว่า ท่านจะต้องเห็นด้วย หรือเข้าใจ และนำไปใช้ได้ แต่อยากเชิญชวนให้ท่านลองปฏิบัติดู เพื่อจะได้เห็นผลด้วยตัวของท่านเอง
สำหรับท่านที่ยังคิดว่า การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของคนแก่ ดิฉันอยากฝากถึงท่านว่า ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าท่านจะมีโอกาสอยู่ถึงวัยนั้น และมีสุขภาพกายและจิตใจที่สมบูรณ์เพียงพอที่จะปฏิบัติธรรมได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น